รุด ฟาน นิสเตลรอย อดีตกองหน้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดเผยถึงการศึกษาวิธีการเล่นของ เธียร์รี่ อองรี อดีตกองหน้าของ อาร์เซน่อล แม้จะเป็นคู่แข่งในช่วงที่ค้าแข้ง เพื่อหวังพัฒนาฝีเท้า โดยเจ้าตัวเคยถูก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานบรมกุนซือของทีมกระตุ้นจนเอาชนะดาวเตะชาว ฝรั่งเศส สำหรับการคว้าดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ
ฟาน นิสเตลรอย และอองรี เคยเป็นคู่แข่งในการสร้างผลงานในเกมรุกให้กับต้นสังกัด และยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในตัวรุกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ เมื่อสร้างผลงานในระดับสูงสุดได้ในช่วงปี 2001 จนถึงปี 2006 แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ต่างชื่นชมกับศักยภาพที่แสดงกันออกมา ในขณะที่ฟาน นิสเตลรอย กล่าวยอมรับถึงความหวาดกลัวกับศักยภาพของอองรี
ฟาน นิสเตลรอย กล่าวในช่องยูทูปอย่างเป็นทางการของ ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตเพื่อนร่วมทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ว่า “ผมชื่นชมเขา ผมเรียนรู้จากการเล่นของเขา กับการเล่นของเธียร์รี่ ว้าว กับสิ่งที่เขาทำมากมายในพรีเมียร์ลีก พระเจ้าช่วย ผมต้องแข่งขันกับเขา สำหรับการผลักดันตัวเอง”
ฤดูกาลแรกที่ทั้งสองต้องเผชิญหน้ากันในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2001-02 โดยเป็นอองรีที่คว้าดาวซัลโวไปได้สำเร็จ เมื่อทำได้ 24 ประตู และช่วยให้อาร์เซน่อลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเกาะอังกฤษ รวมถึงการบุกไปเอาชนะได้ถึงโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยสกอร์ 1-0
ฟาน นิสเตลรอย ทำได้ถึง 23 ประตู จากการลงสนามในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลแรกและวันสุดท้ายของฤดูกาลก็ยังมีโอกาสทำประตูเพื่อแซงหน้าอองรี แต่เป็นเฟอร์กูสันที่ตัดรายชื่ออดีตดาวยิงชาวดัตช์ออกจากทีม ซึ่งเจ้าตัวพูดถึงช่วงเวลาดังกล่าวว่า “ผมอยู่ที่นั่นเพื่อรองเท้าทองคำ ปีแรกของผม ผมท้าทายมาก แต่เกมสุดท้ายของฤดูกาล เจ้านายตัดชื่อผมออก เขาบอกว่า ‘คุณเอาชนะรองเท้าทองคำไม่ได้หรอก ลูกชาย พวกเราไม่ได้คว้าแชมป์ลีก’ ผมไม่มีรายชื่อแม้แต่ม้านั่งสำรอง ผู้จัดการทีมทำให้ผมมุ่งมั่น ผมไม่อยากจะเชื่อไร ประตูมันเกี่ยวกับตำแหน่งแชมป์ลีกยังไง”
ความเดือดในการพบกันของทั้งสองทีมเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในฤดูกาล 2003-04 เมื่อฟาน นิสเตลรอย พลาดจุดโทษ ทำให้นักเตะของอาร์เซน่อลดีใจกันมากมาย โดยเฉพาะ มาร์ติน คีโอว์น โดยฟาน นิสเตลรอย กล่าวถึงเหตุการณ์นั้นว่า “ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมพลาดจุดโทษ มันเป็นจังหวะสุดท้ายของเกม ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งผมได้มาเห็นในโทรทัศน์ นักเตะหลายคนเข้ามาหาผม ผลักผม ผมเสียมากกับจุดโทษนั้น กับสิ่งที่ผมพลาดไป แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ผมเหมือนกับโดนสะกดเอาไว้”